shopup.com

articleฟิลเลอร์เกจ์ ( Feeler Gauges )

ฟิลเลอร์เกจ์ ( Feeler Gauges )

ฟิลเลอร์เกจ (Feeler Gauge) เป็นเครื่องมือวัดที่สำคัญอย่างยิ่งในงานอุตสาหกรรมและการผลิตต่างๆ เนื่องจากมีความสามารถในการวัดช่องว่างหรือระยะห่างระหว่างชิ้นส่วนที่แคบและละเอียดได้อย่างแม่นยำสูง เครื่องมือชิ้นนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมคุณภาพและการบำรุงรักษาเครื่องจักรกลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักรกล และอิเล็กทรอนิกส์

ฟิลเลอร์เกจคืออะไร?

ฟิลเลอร์เกจเป็นเครื่องมือวัดที่ประกอบด้วยแผ่นโลหะบางๆ หลายแผ่นเรียงซ้อนกัน โดยแต่ละแผ่นจะมีความหนาที่แตกต่างกันและมีการระบุค่าความหนาไว้อย่างชัดเจน แผ่นโลหะเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัววัดช่องว่างระหว่างชิ้นส่วน โดยการนำแผ่นโลหะที่มีความหนาใกล้เคียงกับช่องว่างที่ต้องการวัดไปสอดเข้าไปในช่องว่างนั้น เพื่อตรวจสอบความพอดีและวัดค่าความหนาของช่องว่างได้อย่างแม่นยำ

หลักการทำงานของฟิลเลอร์เกจ

หลักการทำงานของฟิลเลอร์เกจนั้นค่อนข้างง่าย โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบความหนาของแผ่นโลหะกับขนาดของช่องว่างที่ต้องการวัด เมื่อนำแผ่นโลหะไปสอดเข้าไปในช่องว่าง หากแผ่นโลหะมีความหนาพอดีกับช่องว่าง แสดงว่าช่องว่างนั้นมีขนาดเท่ากับความหนาของแผ่นโลหะนั้น

ประเภทของฟิลเลอร์เกจ

  • ฟิลเลอร์เกจสามารถแบ่งประเภทได้ตามวัสดุที่ใช้ในการผลิตและลักษณะการใช้งาน ได้แก่
  • ฟิลเลอร์เกจเหล็ก: มีความแข็งแรง ทนทาน และแม่นยำสูง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดสูง
  • ฟิลเลอร์เกจสแตนเลส: ทนทานต่อการกัดกร่อน เหมาะสำหรับใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือสารเคมี
  • ฟิลเลอร์เกจใบมีด: มีความบางและยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับวัดช่องว่างที่แคบมาก

การใช้งานฟิลเลอร์เกจ

  • ฟิลเลอร์เกจมีการใช้งานที่หลากหลาย เช่น
  • การวัดช่องว่างระหว่างชิ้นส่วน: เช่น ช่องว่างระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบ ช่องว่างระหว่างใบมีดคัตเตอร์
  • การตรวจสอบความหนาของชิ้นส่วน: เช่น ความหนาของแผ่นโลหะบางๆ
  • การตั้งค่าเครื่องมือ: เช่น การตั้งค่าระยะห่างของหัวเทียนในเครื่องยนต์
  • การตรวจสอบความเรียบของพื้นผิว: โดยการสอดฟิลเลอร์เกจเข้าไปในร่องหรือรอยแตกที่ต้องการตรวจสอบ

ขั้นตอนการดูแลรักษาฟิลเลอร์เกจ

ทำความสะอาดหลังการใช้งาน

เช็ดทำความสะอาดแผ่นใบมีดและตัวเครื่องด้วยผ้าแห้งสะอาด เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและคราบน้ำมันที่อาจเกาะอยู่

หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาด

หล่อลื่น

สำหรับฟิลเลอร์เกจที่ทำจากเหล็กกล้าคาร์บอน ควรมีการหล่อลื่นด้วยน้ำมันป้องกันสนิมชนิดบางเบาเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการสึกหรอ

เลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นที่เหมาะสมกับวัสดุที่ใช้ผลิตฟิลเลอร์เกจ

ตรวจสอบความเสียหาย

ตรวจสอบใบมีดของฟิลเลอร์เกจเป็นประจำว่ามีรอยงอ บิ่น หรือเสียรูปหรือไม่ หากพบความเสียหายควรเปลี่ยนใบมีดใหม่ทันที

ตรวจสอบตัวเครื่องว่ามีส่วนใดชำรุดหรือหลวมหรือไม่

เก็บรักษา

เก็บฟิลเลอร์เกจในกล่องที่ออกแบบมาสำหรับเก็บเครื่องมือวัด เพื่อป้องกันความเสียหายจากการกระแทกหรือการตก

เก็บในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงความชื้นและอุณหภูมิสูง

ควรเก็บใบมีดแต่ละแผ่นแยกกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน

ข้อควรระวังในการใช้งาน

  • เลือกขนาดให้เหมาะสม: เลือกใช้ใบมีดที่มีความหนาใกล้เคียงกับช่องว่างที่ต้องการวัด
  • ใช้แรงกดเบาๆ: การใช้แรงกดมากเกินไปอาจทำให้ใบมีดเสียรูปหรือชิ้นงานเสียหายได้
  • หลีกเลี่ยงการดัดแปลง: ห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขฟิลเลอร์เกจด้วยตัวเอง
  • สอบเทียบเป็นประจำ: นำฟิลเลอร์เกจไปสอบเทียบกับมาตรฐานที่ถูกต้องเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลการวัดมีความแม่นยำ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ทิ้งฟิลเลอร์เกจไว้ในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น
  • ใช้ฟิลเลอร์เกจที่เสียหาย
  • ใช้แรงกดมากเกินไปขณะวัด
  • เก็บฟิลเลอร์เกจรวมกับเครื่องมืออื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วน

 

เกจ์วัดมุม เป็นเครื่องมือวัดที่สำคัญอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมและงานวิศวกรรมต่างๆ เนื่องจากมุมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความแม่นยำของผลิตภัณฑ์ หากมุมของชิ้นงานไม่ถูกต้องตามที่ออกแบบไว้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการประกอบหรือการทำงานของผลิตภัณฑ์ได้ เกจ์วัดมุมจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการทำงานของเกจ์วัดมุม

เกจ์วัดมุมทำงานโดยอาศัยหลักการวัดมุมระหว่างสองเส้นหรือระนาบ โดยทั่วไปแล้ว เกจ์วัดมุมจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลักดังนี้

  • ตัวฐาน: เป็นส่วนที่ใช้ยึดเกาะกับชิ้นงาน
  • แขนวัด: เป็นส่วนที่เคลื่อนที่ได้และใช้สำหรับสัมผัสกับชิ้นงาน
  • หน้าปัด: แสดงค่ามุมที่วัดได้

ประเภทของเกจ์วัดมุม

เกจ์วัดมุมมีหลายประเภทให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานและความแม่นยำที่ต้องการ เช่น

  • เกจ์วัดมุมแบบเข็ม: เป็นเกจ์วัดมุมแบบดั้งเดิมที่ใช้เข็มชี้บนหน้าปัดเพื่อแสดงค่ามุม
  • เกจ์วัดมุมแบบดิจิตอล: เป็นเกจ์วัดมุมที่แสดงผลการวัดเป็นตัวเลขบนจอแสดงผล ทำให้สามารถอ่านค่าได้ง่ายและแม่นยำ
  • เกจ์วัดมุมแบบเลเซอร์: ใช้ลำแสงเลเซอร์ในการวัดมุม ทำให้สามารถวัดมุมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ประเภทของมุมที่สามารถวัดได้ด้วยเกจ์วัดมุม

เกจ์วัดมุมเป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดมุมระหว่างสองเส้นตรงหรือระนาบ โดยทั่วไปแล้ว เกจ์วัดมุมสามารถวัดมุมได้หลากหลายประเภท ดังนี้

  1. มุมแหลม (Acute angle)
  • มุมที่มีขนาดน้อยกว่า 90 องศา
  • พบได้ทั่วไปในชิ้นงาน เช่น มุมของเกลียว สกรู หรือร่องต่างๆ
  1. มุมฉาก (Right angle)
  • มุมที่มีขนาดเท่ากับ 90 องศา
  • เป็นมุมที่พบมากที่สุดในงานช่างและวิศวกรรม
  1. มุมป้าน (Obtuse angle)
  • มุมที่มีขนาดมากกว่า 90 องศา แต่ไม่เกิน 180 องศา
  • พบได้ในชิ้นงานที่มีรูปร่างซับซ้อน เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักร
  1. มุมกลับ (Reflex angle)
  • มุมที่มีขนาดมากกว่า 180 องศา แต่ไม่เกิน 360 องศา
  • มักใช้ในการวัดมุมที่เกิดจากการหมุนของวัตถุ
  1. มุมเสริม (Supplementary angles)
  • มุมสองมุมที่รวมกันได้ 180 องศา
  1. มุมประกอบ (Complementary angles)
  • มุมสองมุมที่รวมกันได้ 90 องศา

     7. มุมตรง (Straight angle)

  • มุมที่มีขนาดเท่ากับ 180 องศา
  • เป็นเส้นตรง

นอกจากนี้ เกจ์วัดมุมยังสามารถใช้วัดมุมอื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น มุมของปริซึม มุมของกรวย หรือมุมของวัตถุที่มีรูปร่างซับซ้อน

การเลือกใช้เกจ์วัดมุม

การเลือกใช้เกจ์วัดมุมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น

  • ความแม่นยำที่ต้องการ: เลือกเกจ์วัดมุมที่มีความละเอียดในการวัดสูงหากต้องการความแม่นยำสูง
  • ขนาดและรูปร่างของชิ้นงาน: เลือกเกจ์วัดมุมที่มีขนาดและรูปร่างเหมาะสมกับชิ้นงานที่ต้องการวัด
  • วัสดุของชิ้นงาน: เลือกเกจ์วัดมุมที่เหมาะสมกับวัสดุของชิ้นงาน เช่น หากชิ้นงานทำจากโลหะ อาจเลือกใช้เกจ์วัดมุมที่มีปลายสัมผัสทำจากวัสดุแข็ง

การใช้งานเกจ์วัดมุม

การใช้งานเกจ์วัดมุมนั้นค่อนข้างง่าย โดยทั่วไปแล้วจะมีขั้นตอนดังนี้

  • เตรียมชิ้นงาน: ทำความสะอาดชิ้นงานให้เรียบร้อย
  • ยึดเกจ์วัดมุม: ยึดตัวฐานของเกจ์วัดมุมกับชิ้นงานให้แน่น
  • สัมผัสชิ้นงาน: ใช้แขนวัดสัมผัสกับจุดที่ต้องการวัดมุม
  • อ่านค่า: อ่านค่ามุมที่แสดงบนหน้าปัดหรือจอแสดงผล

ขั้นตอนการดูแลรักษาเกจ์วัดมุม

  1. ทำความสะอาด:

    • หลังการใช้งานทุกครั้ง ควรทำความสะอาดเกจ์วัดมุมด้วยผ้าแห้งสะอาด เพื่อขจัดคราบสกปรก ฝุ่นละออง หรือคราบน้ำมันที่อาจเกาะอยู่
    • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนในการทำความสะอาด เพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนของเกจ์เสียหายได้
  2. หล่อลื่น:

    • สำหรับเกจ์วัดมุมที่ทำจากโลหะ ควรมีการหล่อลื่นด้วยน้ำมันป้องกันสนิมชนิดบางเบาเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดสนิมและการสึกหรอ
    • จุดที่ต้องหล่อลื่น ได้แก่ ส่วนที่เคลื่อนไหว เช่น ข้อต่อ แขนวัด และจุดหมุนต่างๆ
  3. ตรวจสอบความเสียหาย:

    • ตรวจสอบใบมีดหรือปลายสัมผัสของเกจ์วัดมุมว่ามีรอยบุบ บิ่น หรือเสียรูปหรือไม่
    • ตรวจสอบตัวเครื่องว่ามีรอยร้าว หรือชิ้นส่วนหลวมหรือไม่
    • ตรวจสอบสเกลบนหน้าปัดว่ายังชัดเจนและอ่านค่าได้ถูกต้องหรือไม่
  4. เก็บรักษา:

    • เก็บเกจ์วัดมุมในกล่องที่ออกแบบมาสำหรับเก็บเครื่องมือวัด เพื่อป้องกันความเสียหายจากการกระแทก
    • เก็บในที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงความชื้นและอุณหภูมิสูง
    • ควรเก็บชิ้นส่วนต่างๆ ของเกจ์วัดมุมแยกกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน
  5. สอบเทียบ:

    • นำเกจ์วัดมุมไปสอบเทียบกับมาตรฐานที่ถูกต้องเป็นระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าผลการวัดมีความแม่นยำ

ข้อควรระวังในการใช้งานเกจ์วัดมุม

  • หลีกเลี่ยงการตกกระแทก: การตกกระแทกอาจทำให้เกจ์วัดมุมเสียหายได้
  • ใช้แรงกดที่เหมาะสม: การใช้แรงกดมากเกินไปอาจทำให้ชิ้นส่วนของเกจ์เสียหายได้
  • อย่าดัดแปลง: ห้ามดัดแปลงหรือแก้ไขเกจ์วัดมุมด้วยตัวเอง
  • เลือกใช้เกจ์วัดมุมให้เหมาะสมกับงาน: เลือกเกจ์วัดมุมที่มีช่วงการวัดและความละเอียดที่ตรงกับงานที่ต้องการวัด

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  • การทำความสะอาดด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อน: อาจทำให้ชิ้นส่วนของเกจ์เสียหาย
  • การเก็บเกจ์วัดมุมในที่ที่มีความชื้นสูง: อาจทำให้เกิดสนิม
  • การใช้เกจ์วัดมุมที่เสียหาย: อาจทำให้ผลการวัดไม่ถูกต้อง
  • การดัดแปลงเกจ์วัดมุม: อาจทำให้เกจ์วัดมุมเสียหายและใช้งานไม่ได้

 

เกจ์วัดเบอร์ลวด หรือ Wire Gauge เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของลวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งลวดโลหะ เช่น ลวดทองแดง ลวดเหล็ก หรือลวดอลูมิเนียม เครื่องมือชิ้นนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับลวด เนื่องจากขนาดของลวดมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

หลักการทำงาน

เกจ์วัดเบอร์ลวดมีหลากหลายรูปแบบ แต่หลักการทำงานโดยทั่วไปคือการเปรียบเทียบเส้นผ่านศูนย์กลางของลวดกับช่องว่างที่มีขนาดมาตรฐานบนตัวเกจ์ เมื่อใส่ลวดลงในช่องว่างที่พอดีที่สุด ค่าที่อ่านได้จากช่องว่างนั้นก็คือเบอร์ของลวด ซึ่งสอดคล้องกับเส้นผ่านศูนย์กลางที่กำหนดไว้

ประเภทของเกจ์วัดเบอร์ลวด

  • เกจ์วัดเบอร์ลวดแบบแผ่น: เป็นเกจ์วัดเบอร์ลวดแบบดั้งเดิม มีลักษณะเป็นแผ่นที่มีช่องว่างขนาดต่างๆ เรียงกัน
  • เกจ์วัดเบอร์ลวดแบบดิจิทัล: เป็นเกจ์วัดเบอร์ลวดที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวัดและแสดงผลค่าที่ได้บนหน้าจอ
  • เกจ์วัดเบอร์ลวดแบบไมโครมิเตอร์: เป็นเกจ์วัดเบอร์ลวดที่ใช้หลักการของไมโครมิเตอร์ในการวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของลวด

หน่วยวัดที่ใช้

เกจ์วัดเบอร์ลวดมักใช้หน่วยวัดที่เฉพาะเจาะจง เช่น:

  • AWG (American Wire Gauge): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมไฟฟ้า
  • SWG (Standard Wire Gauge): เป็นมาตรฐานที่ใช้กันในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตเครื่องจักร
  • MM (Millimeter): เป็นหน่วยวัดเส้นผ่านศูนย์กลางโดยตรง

การใช้งานเกจ์วัดเบอร์ลวด

เกจ์วัดเบอร์ลวดถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น:

  • อุตสาหกรรมไฟฟ้า: ใช้ในการเลือกสายไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับการใช้งาน
  • อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็ก
  • อุตสาหกรรมการผลิต: ใช้ในการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับลวด

ความสำคัญของเกจ์วัดเบอร์ลวด

  • ควบคุมคุณภาพ: ช่วยให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาตรงตามมาตรฐาน
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: การเลือกใช้ลวดที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผลิตภัณฑ์
  • ลดต้นทุน: การใช้ลวดที่ถูกต้องตามขนาดจะช่วยลดการสูญเสียวัสดุ

 

หวีวัดเกลียว หรือ Screw Pitch Gauge เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับตรวจสอบระยะพิทช์ (Pitch) หรือระยะห่างระหว่างสันเกลียวสองสันติดกันของเกลียว โดยมีลักษณะเป็นแผ่นที่มีฟันซี่ละเอียดเรียงกันเป็นระยะเท่าๆ กัน เมื่อนำไปวางทาบกับเกลียว ฟันซี่ของหวีวัดเกลียวจะตรงกับสันเกลียว ทำให้สามารถอ่านค่าระยะพิทช์ได้จากการนับจำนวนฟันซี่ที่สัมผัสกับเกลียว

หลักการทำงาน

หลักการทำงานของหวีวัดเกลียวอาศัยหลักการเปรียบเทียบระยะพิทช์ของเกลียวกับระยะห่างระหว่างฟันซี่ของหวีวัดเกลียว เมื่อนำหวีวัดเกลียวไปวางทาบกับเกลียวที่ต้องการตรวจสอบ หากฟันซี่ของหวีวัดเกลียวตรงกับสันเกลียวพอดี แสดงว่าระยะพิทช์ของเกลียวตรงกับค่าที่ระบุไว้บนหวีวัดเกลียว

ประเภทของหวีวัดเกลียว

หวีวัดเกลียวแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระบบการวัด ได้แก่

  • หวีวัดเกลียวระบบเมตริก: มีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร (mm)
  • หวีวัดเกลียวระบบอังกฤษ: มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว (inch)

นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งประเภทตามการใช้งานได้อีก เช่น

  • หวีวัดเกลียวสำหรับเกลียวนอก: ใช้สำหรับวัดเกลียวที่อยู่ด้านนอกของชิ้นงาน
  • หวีวัดเกลียวสำหรับเกลียวใน: ใช้สำหรับวัดเกลียวที่อยู่ด้านในของชิ้นงาน

ความสำคัญของหวีวัดเกลียว

หวีวัดเกลียวมีบทบาทสำคัญในการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเกลียว เช่น สกรู น็อต และชิ้นส่วนเครื่องจักรต่างๆ การตรวจสอบระยะพิทช์ของเกลียวด้วยหวีวัดเกลียวจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเกลียวที่ผลิตมามีความแม่นยำตรงตามมาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลต่อการประกอบและการทำงานของผลิตภัณฑ์

การใช้งานหวีวัดเกลียว

  1. ทำความสะอาด: ทำความสะอาดเกลียวของชิ้นงานก่อนทำการตรวจสอบ
  2. เลือกหวีวัดเกลียว: เลือกหวีวัดเกลียวที่มีระยะพิทช์ใกล้เคียงกับเกลียวที่ต้องการตรวจสอบ
  3. วางทาบ: นำหวีวัดเกลียวไปวางทาบกับเกลียวที่ต้องการตรวจสอบ
  4. ตรวจสอบ: หากฟันซี่ของหวีวัดเกลียวตรงกับสันเกลียวพอดี แสดงว่าระยะพิทช์ถูกต้อง

 

 

24 October 2024

Viewed 26 time

Engine by shopup.com