article
articleเครื่องมือวัดอื่นๆ ( ตอนที่ 3 )
เครื่องมือวัดอื่นๆ ( ตอนที่ 3 )
เครื่องมือวัดประเภทต่างๆ
11. เครื่องวัดไทมิ่งไลต์ หรือ Timing Light เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบและปรับตั้งระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องมือนี้จะส่งสัญญาณแสงวาบไปยังเครื่องยนต์เพื่อให้ช่างสามารถสังเกตการเคลื่อนที่ของปีกผีเสื้อ และจุดที่ประกายไฟเกิดขึ้น เพื่อตรวจสอบว่าระบบจุดระเบิดทำงานตรงตามค่าที่กำหนดไว้หรือไม่
หลักการทำงาน
เครื่องวัดไทมิ่งไลต์ทำงานโดยเชื่อมต่อกับสายไฟของระบบจุดระเบิด เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน สัญญาณไฟฟ้าจากระบบจุดระเบิดจะกระตุ้นให้เครื่องวัดไทมิ่งไลต์ปล่อยแสงวาบออกมาในจังหวะที่ประกายไฟเกิดขึ้น ช่างสามารถใช้แสงวาบนี้สังเกตการเคลื่อนที่ของปีกผีเสื้อ และเปรียบเทียบกับเครื่องหมายที่กำหนดไว้บนพูลเลย์หรือฟลายวีล เพื่อตรวจสอบว่าองศาการจุดระเบิดตรงตามค่าที่กำหนดหรือไม่
ชนิดของเครื่องวัดไทมิ่งไลต์
- แบบดิจิทัล: มีหน้าจอแสดงผลที่สามารถแสดงค่าต่างๆ ได้อย่างละเอียด เช่น องศาการจุดระเบิด เวลาที่ประกายไฟเกิดขึ้น
- แบบอะนาล็อก: ใช้หลอดไฟในการแสดงผล โดยความสว่างของแสงจะบ่งบอกถึงจังหวะการจุดระเบิด
การประยุกต์ใช้
- การปรับตั้งระบบจุดระเบิด: ใช้ในการปรับตั้งองศาการจุดระเบิดให้ตรงตามค่าที่กำหนด เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตรวจสอบปัญหาการจุดระเบิด: ใช้ในการตรวจสอบปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบจุดระเบิด เช่น ปัญหาในการจุดระเบิด การจุดระเบิดช้า หรือการจุดระเบิดเร็วเกินไป
- การปรับแต่งเครื่องยนต์: ใช้ในการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มสมรรถนะ
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- ความปลอดภัย: ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้งานอย่างเคร่งครัด และระมัดระวังในการใช้งานเครื่องมือ
- การเชื่อมต่อ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายไฟเชื่อมต่อกับระบบจุดระเบิดอย่างถูกต้อง
- การปรับตั้ง: ปรับตั้งเครื่องวัดไทมิ่งไลต์ให้ตรงกับเครื่องยนต์ที่ต้องการตรวจสอบ
- สภาพแวดล้อม: ควรใช้งานเครื่องมือในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่ควรใช้งานในบริเวณที่มีความร้อนสูง หรือมีความชื้นสูง
12. เครื่องวัดการสั่นสะเทือน หรือ Vibration Meter เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและวิเคราะห์การเคลื่อนที่แบบสั่นของวัตถุหรือระบบทางกล การสั่นสะเทือนนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความไม่สมดุลของชิ้นส่วนเคลื่อนที่ การสึกหรอของเครื่องจักร หรือภายนอกจากสภาพแวดล้อม โดยการวัดการสั่นสะเทือนจะช่วยให้เราสามารถตรวจสอบสภาพของเครื่องจักร ตรวจพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า และทำการบำรุงรักษาได้อย่างทันท่วงที
หลักการทำงาน
เครื่องวัดการสั่นสะเทือนทำงานโดยการแปลงการสั่นสะเทือนทางกลให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งสัญญาณไฟฟ้านี้จะถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อหาค่าต่างๆ เช่น ความเร่ง (acceleration), ความเร็ว (velocity), และการกระจัด (displacement) ของการสั่นสะเทือน
ชนิดของเครื่องวัดการสั่นสะเทือน
- เครื่องวัดการสั่นสะเทือนแบบพกพา: มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับการใช้งานภาคสนาม
- เครื่องวัดการสั่นสะเทือนแบบตั้งโต๊ะ: มีขนาดใหญ่ มีความแม่นยำสูง เหมาะสำหรับใช้งานในห้องปฏิบัติการ
- เครื่องวัดการสั่นสะเทือนแบบออนไลน์: ใช้สำหรับติดตามการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง
การประยุกต์ใช้
- การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์: ใช้ในการตรวจสอบสภาพของเครื่องจักร ตรวจพบปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะกลายเป็นความเสียหายร้ายแรง
- การควบคุมคุณภาพ: ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการสั่นสะเทือน เช่น มอเตอร์ พัดลม
- การวิจัยและพัฒนา: ใช้ในการวิเคราะห์การสั่นสะเทือนของโครงสร้างต่างๆ เพื่อปรับปรุงการออกแบบ
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- การเลือกเซ็นเซอร์: เลือกเซ็นเซอร์ที่เหมาะสมกับชนิดของการสั่นสะเทือนที่ต้องการวัด
- การติดตั้งเซ็นเซอร์: ติดตั้งเซ็นเซอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ค่าการวัดที่ถูกต้อง
- การสอบเทียบ: สอบเทียบเครื่องมือเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าค่าที่วัดได้มีความแม่นยำ
- การวิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการวัดอย่างละเอียด เพื่อหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไข
13. เครื่องวัดความแข็งแรงของยางและพลาสติก (Durometer)เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวัดความต้านทานต่อการยุบตัวหรือการเสียรูปของวัสดุที่มีความอ่อนนุ่ม เช่น ยาง พลาสติก หรือโฟม โดยค่าที่ได้จากการวัดจะบ่งบอกถึงความแข็งหรือความนิ่มของวัสดุชนิดนั้นๆ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการควบคุมคุณภาพและการประยุกต์ใช้วัสดุ
หลักการทำงาน
เครื่องวัดความแข็งแรงทำงานโดยการกดหัววัดที่มีความแข็งลงบนผิวของวัสดุที่ต้องการวัด แล้ววัดความลึกของรอยกดที่เกิดขึ้น หรือวัดแรงที่ใช้ในการกดให้เกิดรอยกดนั้น โดยค่าที่ได้จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดไว้
ชนิดของเครื่องวัดความแข็งแรง
- Durometer แบบเข็ม (Shore Durometer): เป็นชนิดที่พบเห็นทั่วไป มีหัววัดรูปทรงต่างๆ กัน เช่น แบบ A, D, O โดยแต่ละแบบเหมาะสำหรับวัสดุที่มีความแข็งแตกต่างกัน เช่น ยางนิ่ม, พลาสติกแข็ง
- Indentation Hardness Tester: ใช้หัววัดที่มีรูปทรงเฉพาะเจาะจง เช่น รูปทรงกรวย หรือรูปทรงทรงกลม เพื่อวัดความแข็งแรงของวัสดุได้หลากหลายชนิด
- Scratch Tester: ใช้สำหรับวัดความต้านทานต่อรอยขีดข่วนของวัสดุ โดยการขูดผิววัสดุด้วยหัววัดที่มีความคม
การประยุกต์ใช้
- อุตสาหกรรมยาง: ใช้ในการควบคุมคุณภาพของยางรถยนต์, ซีลยาง, และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ
- อุตสาหกรรมพลาสติก: ใช้ในการควบคุมคุณภาพของพลาสติกที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์, ชิ้นส่วนรถยนต์, และผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ
- อุตสาหกรรมโฟม: ใช้ในการควบคุมคุณภาพของโฟมที่ใช้ในการบรรจุภัณฑ์, ที่นอน, และวัสดุป้องกันการกระแทก
- อุตสาหกรรมอื่นๆ: เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ, อุตสาหกรรมการแพทย์
ข้อควรพิจารณาในการเลือกใช้เครื่องมือ
- ชนิดของวัสดุ: เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับชนิดของวัสดุที่ต้องการวัด
- ช่วงของค่าความแข็ง: เลือกเครื่องมือที่มีช่วงการวัดครอบคลุมค่าความแข็งของวัสดุที่ต้องการวัด
- ความแม่นยำ: เลือกเครื่องมือที่มีความแม่นยำตามที่ต้องการ
- มาตรฐาน: เลือกเครื่องมือที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรอง
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- การสอบเทียบ: ควรทำการสอบเทียบเครื่องมือเป็นประจำด้วยวัสดุมาตรฐาน
- การเตรียมตัวอย่าง: ตัวอย่างที่นำมาทดสอบควรมีความหนาและความเรียบสม่ำเสมอ
- การเลือกตำแหน่งในการวัด: เลือกตำแหน่งที่ห่างจากขอบของตัวอย่างอย่างน้อย 5 มิลลิเมตร
- อุณหภูมิและความชื้น: ควรทำการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิและความชื้นคงที่
14. เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อม หรือ Welding Gauge เป็นเครื่องมือวัดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับวัดขนาดและคุณภาพของรอยเชื่อม โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของกระบวนการเชื่อม และเพื่อให้มั่นใจว่ารอยเชื่อมมีความแข็งแรงและทนทานตามมาตรฐานที่กำหนด
มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง
การวัดรอยเชื่อมมักจะอ้างอิงถึงมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐาน ISO, AWS (American Welding Society), หรือมาตรฐานของแต่ละประเทศ ซึ่งจะกำหนดค่าที่ยอมรับได้ของขนาดและคุณภาพของรอยเชื่อม
หลักการทำงาน
เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อมมีสเกลหลัก (Main Scale) และสเกลเวอร์เนียร์ (Vernier Scale) ที่มีความละเอียดแตกต่างกัน เมื่อนำไปวัดรอยเชื่อม สเกลทั้งสองจะขยับสัมพันธ์กัน โดยการสังเกตว่าขีดแบ่งบนสเกลเวอร์เนียร์ขีดใดตรงกับขีดแบ่งบนสเกลหลัก ค่าที่อ่านได้จะประกอบด้วยค่าจากสเกลหลักและค่าจากสเกลเวอร์เนียร์โดยสเกลหลักจะแสดงค่าหลักของการวัด เช่น มิลลิเมตร หรือนิ้ว และสเกลเวอร์เนียร์จะ แสดงค่าทศนิยมของการวัด โดยมีการแบ่งขีดที่ละเอียดกว่าสเกลหลัก
ประเภทของเวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อม
- เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อมแบบเข็มเดี่ยว: ใช้สำหรับวัดขนาดของรอยเชื่อมในจุดเดียว
- เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อมแบบเข็มคู่: ใช้สำหรับวัดขนาดของรอยเชื่อมในหลายจุดพร้อมกัน
- เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อมแบบดิจิตอล: แสดงผลการวัดเป็นตัวเลข ทำให้อ่านค่าได้ง่ายและรวดเร็ว
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- สอบเทียบเครื่องมือ: ควรทำการสอบเทียบเครื่องมือเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าค่าที่ได้มีความแม่นยำ
- เลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสม: เลือกใช้เวอร์เนียร์วัดรอยเชื่อมที่เหมาะสมกับชนิดของรอยเชื่อมและขนาดของชิ้นงาน
- ใช้งานอย่างระมัดระวัง: หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือดัดแปลงเครื่องมือ
15. เครื่องมือวัดความหนาของโลหะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า เครื่องวัดความหนาด้วยคลื่นอัลตราโซนิค (Ultrasonic Thickness Gauge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดความหนาของวัสดุต่างๆ โดยเฉพาะโลหะ โดยไม่ต้องทำลายชิ้นงาน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการผลิต การบำรุงรักษา และการตรวจสอบคุณภาพ
หลักการทำงาน
เครื่องมือวัดความหนาของโลหะทำงานโดยอาศัยหลักการของคลื่นเสียงความถี่สูง หรือคลื่นอัลตราโซนิค โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้
- การส่งสัญญาณ: เครื่องมือจะส่งคลื่นอัลตราโซนิคผ่านหัววัด (Transducer) เข้าไปในวัสดุที่ต้องการวัด
- การสะท้อนของคลื่น: คลื่นอัลตราโซนิคจะเดินทางผ่านวัสดุและสะท้อนกลับเมื่อพบกับผิวด้านหลัง
- การรับสัญญาณ: เครื่องมือจะรับสัญญาณที่สะท้อนกลับมา และคำนวณหาเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางไปกลับ
- การคำนวณความหนา: จากเวลาที่ได้และความเร็วของคลื่นเสียงในวัสดุนั้นๆ เครื่องมือจะคำนวณหาความหนาของวัสดุได้
ประเภทของเครื่องมือวัดความหนาของโลหะ
- เครื่องวัดความหนาแบบดิจิตอล: แสดงผลการวัดเป็นตัวเลข มีความแม่นยำสูง และใช้งานง่าย
- เครื่องวัดความหนาแบบอนาล็อก: แสดงผลการวัดเป็นเข็มชี้บนหน้าปัด เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งจ่ายไฟ
- เครื่องวัดความหนาแบบพกพา: มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาไปใช้งานในพื้นที่ต่างๆ
การประยุกต์ใช้
- อุตสาหกรรมการผลิต: ใช้ตรวจสอบความหนาของแผ่นโลหะ ท่อ และชิ้นส่วนต่างๆ
- อุตสาหกรรมการบำรุงรักษา: ใช้ตรวจสอบความสึกหรอของอุปกรณ์ เช่น ถังเก็บน้ำ ถังเก็บสารเคมี
- อุตสาหกรรมก่อสร้าง: ใช้ตรวจสอบความหนาของคอนกรีตเสริมเหล็ก
- อุตสาหกรรมพลังงาน: ใช้ตรวจสอบความหนาของท่อส่งน้ำมันและก๊าซ
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- การสอบเทียบ: ควรทำการสอบเทียบเครื่องมือเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าค่าที่ได้มีความถูกต้อง
- การเลือกหัววัด: เลือกหัววัดที่เหมาะสมกับชนิดของวัสดุและความหนาที่ต้องการวัด
- สภาพผิวของชิ้นงาน: ผิวของชิ้นงานควรสะอาดและเรียบเพื่อให้ได้ผลการวัดที่แม่นยำ
16. บล็อกเกจ หรือ Gauge Block เป็นเครื่องมือวัดมาตรฐานที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวัดอื่นๆ เช่น เวอร์เนียคาลิปเปอร์ ไมโครมิเตอร์ หรือเครื่องมือวัดความละเอียดสูงอื่นๆ โดยมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมมุมฉาก ทำจากวัสดุที่มีความแข็งสูง เช่น สแตนเลส เซรามิก หรือคาร์ไบด์ ผิวหน้าทั้งสองด้านเรียบและขนานกันอย่างสมบูรณ์แบบ
หลักการทำงาน
บล็อกเกจมีขนาดความหนาที่แม่นยำสูงมาก โดยแต่ละบล็อกจะมีค่าความหนาที่ระบุไว้อย่างชัดเจน การใช้งานบล็อกเกจเพื่อตรวจสอบเครื่องมือวัดอื่นๆ ทำได้โดยนำบล็อกเกจมาวัดด้วยเครื่องมือที่ต้องการตรวจสอบ แล้วเปรียบเทียบค่าที่ได้กับค่าที่ระบุไว้บนบล็อกเกจ หากค่าที่ได้จากการวัดทั้งสองตรงกัน ก็แสดงว่าเครื่องมือวัดนั้นมีความถูกต้อง
ประเภทของบล็อกเกจ
- บล็อกเกจเดี่ยว: เป็นบล็อกเกจที่มีขนาดความหนาเพียงขนาดเดียว
- ชุดบล็อกเกจ: เป็นชุดของบล็อกเกจที่มีขนาดความหนาแตกต่างกันหลายขนาด สามารถนำมาประกอบกันเพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการ
- บล็อกเกจแบบเซรามิก: มีความแม่นยำสูง ทนทานต่อการสึกหรอ และไม่เป็นสนิม
วัสดุที่ใช้ผลิตบล็อกเกจ
- สแตนเลส: เป็นวัสดุที่นิยมใช้ในการผลิตบล็อกเกจ เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอ และมีราคาไม่แพง
- เซรามิก: มีความแข็งสูง ทนต่อการสึกหรอ และมีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวทางความร้อนต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
- คาร์ไบด์: มีความแข็งสูงที่สุดในบรรดาสามวัสดุ ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทานต่อการสึกหรอสูง
การใช้งานบล็อกเกจ
- การสอบเทียบเครื่องมือวัด: นำบล็อกเกจมาวัดด้วยเครื่องมือที่ต้องการสอบเทียบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องมือวัดนั้น
- การสร้างมาตรฐานอ้างอิง: บล็อกเกจสามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงในการวัดชิ้นงานต่างๆ
- การตรวจสอบขนาดของชิ้นงาน: สามารถนำบล็อกเกจหลายๆ อันมาประกอบกันเพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับขนาดของชิ้นงาน
ข้อควรระวังในการใช้งานบล็อกเกจ
- ความสะอาด: ควรทำความสะอาดบล็อกเกจก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งสกปรกมาเกาะ
- การจัดเก็บ: ควรเก็บบล็อกเกจในที่แห้งและสะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิมหรือความเสียหาย
- อุณหภูมิ: อุณหภูมิมีผลต่อขนาดของบล็อกเกจ ดังนั้นควรควบคุมอุณหภูมิในการใช้งานให้คงที่
31 October 2024
Viewed 11 time